Author : admin
Share

DHA ช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตร: จำเป็นแค่ไหน?
สารบัญ
DHA เป็นกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-3 ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาสมองและระบบประสาทของทารก โดยเฉพาะใน ไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่สมองทารกเติบโตมากที่สุด คุณแม่หลายคนจึงสงสัยว่า “ควรกิน DHA ขนาดเท่าไหร่?” และ “จำเป็นต้องกินต่อหลังคลอดหรือไม่?”
งานวิจัยแบบ RCT ฉบับล่าสุดในปี 2025 มีคำตอบที่น่าสนใจอย่างมากต่อวงการโภชนาการมารดาและทารก
1) การเสริม DHA ช่วงตั้งครรภ์ ช่วยเพิ่ม DHA ในน้ำนมจริง
นักวิจัยให้หญิงตั้งครรภ์รับประทาน DHA 100 มิลลิกรัมต่อวัน ในไตรมาสที่ 3 พบว่า
- คุณแม่ที่ได้รับ DHA มีระดับ DHA ในน้ำนมช่วง colostrum (น้ำนมเหลือง) สูงกว่าอย่างชัดเจน
ข้อสรุป: การเสริม DHA ช่วงท้ายการตั้งครรภ์ สามารถเพิ่ม DHA ในน้ำนมได้จริง
2) แต่ขนาด 100 มก./วัน “ไม่เพียงพอ” ในการรักษาระดับหลังคลอด
งานวิจัยพบว่า แม้เสริม DHA ต่อเนื่องถึง 42 วันหลังคลอด ระดับ DHA ในน้ำนมก็ยัง ลดลงจนไม่ต่างจากผู้ที่ไม่ได้เสริม
แปลว่า:
- 100 มก./วันเป็นปริมาณที่น้อยเกินไป หากต้องการรักษาระดับ DHA ในน้ำนมระยะยาว
- ปริมาณที่องค์การสากลส่วนใหญ่แนะนำ คือ 200 มก./วัน
3) DHA อาจมีผลดีต่อ “จุลชีพในลำไส้แม่และทารก”
หนึ่งในผลลัพธ์ที่น่าสนใจคือ
- คุณแม่และทารกที่ได้รับ DHA ต่อเนื่องมี Lactobacillus ในลำไส้สูงขึ้น
Lactobacillus เป็นแบคทีเรียดีที่ช่วยเรื่อง
- ภูมิคุ้มกัน
- ระบบขับถ่าย
- เกราะป้องกันลำไส้
นี่ชี้ให้เห็นว่า DHA อาจทำงานคล้าย prebiotic และมีผลต่อสุขภาพระบบทางเดินอาหารของทารกตั้งแต่แรกเกิด
สรุปสำหรับคุณแม่
- ควรได้รับ DHA ตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะไตรมาสที่ 3
- ปริมาณที่เหมาะสมมักอยู่ที่ 200 มก./วันขึ้นไป
- การเสริมต่อเนื่องหลังคลอดอาจช่วยทั้งระดับ DHA ในน้ำนมและ microbiome ของทารก
- ปริมาณต่ำกว่า 100 มก./วัน อาจ ไม่เพียงพอสำหรับคุณแม่ส่วนใหญ่
บทความโดย รศ.นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล
MFC Wellness Center Khon Kaen ศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม





